สงครามเก้าทัพ
สงครามเก้าทัพเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้เพียง 3 ปี ในสงครามนี้ข้าศึกได้ยกกำลังพลประมาณ 144,000 คน เพื่อพิชิตไทยให้ได้ ถ้าเราพ่ายแพ้ก็ยากที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงมีความสำคัญมากต่ออนาคตของเมืองไทย
สงครามเก้าทัพเรียกตามจำนวนกองทัพที่พระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่า จัดแบ่งกำลังทหารเป็น 9 ทัพ เพื่อมาโจมตีไทยโดย ทัพที่ 1 โจมตีทางปักษ์ใต้ ทัพที่ 2 โจมตีเมืองราชบุรีลงไปทางใต้ ทัพที่ 3 โจมตีลำปางและหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมา ทัพที่ 4 ถึง ทัพที่ 8 มุ่งโจมตีกรุงเทพฯ โดยยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ พระเจ้าปะดุงเป็นแม่ทัพคุมทัพที่ 8 ซึ่งเป็นทัพหลวงมีกำลังมากที่สุดถึง 50,000 คน และทัพที่ 9 โจมตีเมืองตาก กำแพงเพชรลงมา แผนการรบของพระเจ้าปะดุง คือ โจมตีไทยทางเหนือ ทางตะวันตก และทางใต้พร้อมกัน โดยมีเป้าหมายหลักคือ กรุงเทพฯ ให้ทัพที่ 3 และทัพที่ 2 ยกมาบรรจบกับทัพที่ 4 ถึงทัพที่ 8 เพื่อโจมตีกรุงเทพฯ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบข่าวศึก จึงทรงปรึกษาวางแผนการต่อต้านข้าศึกและรวมไพร่พลได้ประมาณ 70,000 คน ซึ่งน้อยกว่ากำลังทหารของพม่ากว่าครึ่งหนึ่ง กำลังไพร่พลของไทยแม้จะน้อยกว่าทหารพม่า แต่ก็มีประสบการณ์และมีความกล้าหาญ เพราะรบชนะมาตลอดในสมัยธนบุรี อีกทั้งมีแม่ทัพที่ทรงพระปรีชาสามารถ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระอนุชาธิราช คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
แผนการรบของไทย คือ ต่อต้านทัพพม่าทางด้านที่สำคัญก่อน โดยจัดทัพเป็น 4 ทัพ โดยให้ทัพที่ 1 ยกไปต่อต้านพม่าทางเหนือที่เมืองนครสวรรค์ ทัพที่ 2 ยกไปต่อต้านพม่าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านสำคัญ มีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ ทัพที่ 3 ยกไปต่อต้านพม่าที่ราชบุรี ทัพที่ 4 เป็นทัพหนุนคอยช่วยเหลือการศึกด้านที่หนัก มีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นจอมทัพ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพไปทางเมืองกาญจนบุรี ตั้งทัพอยู่ที่ทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัดสกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่ายกลงมาจากภูเขา เพื่อไม่ให้ทัพพม่าลงมาหาเสบียงอาหารได้ นอกจากนี้ยังจัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสียงอาหารของพม่า นอกจากนั้นยังลวงพม่าโดยถอนกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามา เสมือนว่ามีกำลังเพิ่มเติมเข้ามาเสมอ เมื่อทำให้กองทัพพม่าขาดแคลนเสบียงอาหาร และครั่นคร้ามกองทัพไทยมากแล้ว จึงโจมตีทัพที่ 4 และทัพที่ 5 ของพม่า และได้ชัยชนะโดยง่าย พระเจ้าปะดุงเห็นว่าถ้าสู้รบต่อไปคงไม่ชนะไทยจึงยกทัพกลับ
สำหรับการโจมตีไทยทางด้านอื่นปรากฏว่าทางด้านเหนือพระยากาวิละ เจ้าเมืองลำปางต่อต้านพม่าไว้ได้ แต่หลายเมืองไม่มีกำลังพอพม่าจึงตีได้หัวเมืองหลายเมืองจนถึงเมืองพิษณุโลก เมื่อเสร็จศึกทางด่านพระเจดีย์สามองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยทัพที่ไปต่อต้านพม่าทางภาคเหนือ ทัพไทยสามารถขับไล่ทัพพม่าออกไปได้ รวมทั้งทัพพม่าที่ล้อมเมืองลำปางด้วย
ส่วนทางปักษ์ใต้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จยกทัพลงไปช่วย แต่ก่อนที่จะเสด็จลงไปถึง ทัพพม่าได้โจมตีเมืองถลาง ซึ่งในเวลานั้นเจ้าเมืองถึงแก่กรรมยังไม่มีการตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แต่ชาวเมืองได้รวมกำลังคนต่อสู้ โดยมีคุณหญิงจัน ภรรยาเจ้าเมืองที่ถึงแก่กรรมและนางมุกน้องสาว เป็นหัวหน้า ซึ่งสามารถต่อต้านพม่าไว้ได้ หลังเสร็จศึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรีย์ (หรือท้าวเทพสตรี) นางมุกเป็นท้าวศรีสุนทรแต่งตั้งถือเป็นวีรสตรีของไทย นอกจากนี้ ทัพพม่าบางส่วนสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ และยกลงไปตีเมืองสงขลา เจ้าเมืองและกรมการเมืองพัทลุงทราบข่าวจึงหลบหนีเอาตัวรอด แต่พระมหาช่วย ภิกษุที่ชาวเมืองนับถือมากได้ชักชวนชาวเมืองให้ต่อสู้สกัดทัพพม่าไว้ได้ เมื่อกองทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกลงไปช่วย ได้สู้รบกับทัพพม่าที่เมืองไชยา ทัพพม่าแตกพ่ายไป สำหรับพระมหาช่วยต่อมาได้ลาสิกขาบทและเข้ารับราชการทรงตั้งให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ กรมการเมืองพัทลุง
หลังจากพ่ายแพ้ไทยกลับไป พระเจ้าปะดุง ได้รวบรวมกำลังตีไทยในปีถัดมาคือ พ.ศ. 2329 โดยครั้งนี้ได้รวมกำลังเป็นทัพใหญ่ทัพเดียว พร้อมจัดหาเสบียงอาหารให้บริบูรณ์ ยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แล้วตั้งทัพที่ท่าดินแดง เมืองกาญจนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดห้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพหน้า พระองค์เป็นแม่ทัพหลวง ทัพทั้งสองไปโจมตีทัพพม่าพร้อมกัน สู้รบกันเพียง 3 วัน ทัพพม่าก็แตกพ่ายไป
สงครามเก้าทัพและสงครามที่ต่อเนื่อง คือ สงครามท่าดินแดง ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อไทย ดังนี้
1. เป็นสงครามใหญ่ที่ข้าศึกมีกำลังมากกว่าไทยถึง 2 เท่าเศษ แต่ไทยมีชัยชนะต่อข้าศึกอย่างงดงาม โดยเปลี่ยนยุทธวิธีจากการตั้งรับที่ราชธานี เป็นไปตั้งรับที่เขตชายแดน ชัยชนะในสงครามดังกล่าวทำให้ข้าศึกไม่ได้ยกกองทัพใหญ่มาโจมตีราชธานีของไทยอีกเลย และไทยได้ตอบโต้ไปโจมตีข้าศึกในเวลาต่อมา
2. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงแสดงพระราชปณิธานในการปกครองประเทศให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาแลมนตรี”
หมายถึงจะทรงอุปถัมภกหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ป้องกันบ้านเมือง ทำให้ราษฎร และขุนนางทั้งหลายร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งเวลาต่อมาได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่สำคัญ คือ ทรงสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้อง ทรงปกป้องและขยายพระราชอาณาเขต ทรงชำระกฎหมายตราสามดวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในบ้านเมือง ทรงฟื้นฟูพระราชประเพณีและทรงบำรุงอักษรศาสตร์ จนทำให้ราษฎรทั้งหลายมีขวัญและกำลังใจดีในการประกอบอาชีพ มีชีวิตอย่างปลอดภัย ประเทศมีความมั่นคงและรุ่งเรืองสืบต่อมา
ที่มา:https://krujiraporn.wordpress.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น